จุดหมายปลายทางของเราทั้งสองอยู่ที่ เกาะเต่า – เกาะนางยวน สองเกาะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานีดำน้ำดูปะการังสวยๆ ติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก (รวมทั้งความสวยงามด้วย) ซึ่งก่อนหน้านี้กว่าที่ตัวเลือกจะหลุดมาเป็น เกาะเต่า – เกาะนางยวน พวกเราได้ทำการคัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ทิ้งไปหลายตัวเลือก ไม่ว่าจะเป็น ภูสอยดาว จ.อุตรดิตถ์, น้ำตกทีลอซู จ.ตาก, อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี รวมทั้งสถานที่ใกล้กับสองเกาะที่เราเลือกอย่าง เขื่อนเชี่ยวหลาน จ.สุราษฎร์ธานี ก็โดนปัดลงถังขยะทิ้ง
ให้หลังจากได้สถานที่เที่ยวเสร็จสรรพ เป็นอันตกลงกัน กระบวนการวางแผนก็เริ่มขึ้น ไล่ไปตั้งแต่การหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวบนสองเกาะว่ามีอะไรบ้าง การเดินทางเป็นยังไง ที่พักตรงไหนน่าจะเหมาะ ซึ่งถ้าจะให้ผมจัดลำดับความสำคัญในการวางแผนการท่องเที่ยว ก็ควรจะทำกันแบบนี้
อันดับแรก จองตั๋วรถ เรือ เครื่องบิน กันให้เรียบร้อยซะว่าจะไป – กลับกันวันไหน จากนั้นค่อยหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวแบบคร่าวๆ (ย้ำ! ว่าแบบคร่าวๆ) เพื่อทำการหาพิกัดเหมาะๆ ในการจองที่พักที่อำนวยความสะดวกที่สุดสำหรับเรา ในการสัญจรไปมากับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ และสุดท้ายเมื่อได้ที่พักกันแล้ว ค่อยกลับมาหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวแบบละเอียดๆ อีกรอบ ว่าแต่ละที่มีกิจกรรมอะไรให้ทำบ้าง
เส้นทางที่จะมุ่งหน้าไปยัง เกาะเต่า – เกาะนางยวนนั้น ถ้ายึดเอากรุงเทพฯ เป็นจุดเริ่มต้น สามารถเลือกเดินทางได้สองเส้นด้วยกันคือหนึ่งมาลงตัวเมืองชุมพร และสองมาลงตัวเมืองสุราษฎร์ธานี ซึ่งหลังจากคิดคำนวณแล้ว ผมเลือกเส้นทางหลัง เนื่องจากตั๋วเครื่องบินมันถูกกว่า (เที่ยวบินก็เยอะกว่าด้วย) อีกทั้งเมื่อรวมค่าเรือที่จะไปยังเกาะเต่า – เกาะนางยวน แล้วบวกลบคูณหาร เส้นทางหลังดีกว่านิดๆ
พวกเราออกเดินทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่สุราษฎร์ธานีด้วยสายการบินนกแอร์ ในช่วงเช้า ก่อนจะต่อรถตู้ของ บ.เรือเร็วลมพระยา ไปยังท่าเรือดอนสัก สุราษฎร์ธานี โดยมีกำหนดเดินทางออกจากท่าเรือดอนสัก – เกาะเต่า ในช่วงสายๆ ของวัน
กล่าวสำหรับการซื้อตั๋วเรือของ บ.เรือเร็วลมพระยา สามารถติดต่อที่จุดจำหน่ายตั๋วได้ที่เคาน์เตอร์ตรงสนามบินสุราษฎร์ธานี ท่าเรือดอนสัก หรือจะสามารถสำรองตั๋วที่ http://lomprayah.com ได้ โดยราคาตั๋วเรือ จะอยู่ระหว่าง 600 – 800 บาท (ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับบริการบางอย่างที่ต้องเก็บเพิ่ม เช่น ค่ารถตู้รับส่งจากสนามบินมายังท่าเรือ ซึ่งส่วนใหญ่มักคิดราคารวมเลยเมื่อซื้อตั๋วไปแล้ว)
พลันที่นั่งรถตู้ถึงท่าเรือดอนสักเสร็จในช่วงสายๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างจะครึ้มซักนิดนึงตั้งแต่เช้า ในระหว่างที่กำลังรอเรือ พวกเราก็จัดการหาอะไรกินแถวนั้น และก็ได้ร้านอาหารรถเข็น เป็นร้านข้าวแกงแบบปักษ์ใต้ ซึ่งจากสภาพภายนอกแม้ว่ามันจะมองดูบ้านๆ แต่ในความบ้านๆ มันก็มีความอร่อยแฝงอยู่จนน่าติดใจ ถึงขนาดทำให้ผมหมดข้าวเปล่าไปตั้งสองจาน
ท้องอิ่มในยามสายเสร็จ นั่งกินขนมเล่นไม่นานนัก เรือเร็วลมพระยา ก็มาเทียบท่ารอรับผู้โดยสารพร้อมขนส่งไปยังปลายทางแต่ละที่ ถ้าเทียบให้เห็นภาพเส้นทางที่กำลังจะมุ่งหน้าไปก็จะออกมาดังนี้ คือ ท่าเรือดอนสัก – เกาะสมุย – เกาะพะงัน – เกาะเต่า
เดินทอดน่องไปขึ้นเรือ พร้อมลั่นชัตเตอร์เก็บภาพชาวประมง ตามรายทางที่กำลังดักซุ่มทอดแห อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าการเดินทางของพวกเรากำลังจะเริ่มขึ้น
ให้หลังจากวางตูดบนเรือเร็วลมพระยาเสร็จ โดยเลือกที่นั่งด้านนอกเอาที่โล่งๆ เน้นดูวิวซักหน่อย เราสองคนก็ได้เวลาทอดสายตามองไปรอบๆ บนท้องทะเลว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง พลางหยิบกล้องขึ้นมากดชัตเตอร์ สภาพอากาศในวันนั้น ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มันอยู่ในอาการครึ้มฟ้าครึ้มฝน ที่ดูๆ แล้ว คิดว่าวันนี้คงตกกันลงมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะตกกันตอนไหน เมื่อไหร่ และที่ใด
นั่งเรือกินลมชมวิวไปเรื่อย ประมาณบ่ายโมงเรือก็มาถึงเกาะพะงัน ซึ่งผู้โดยสารที่จะต่อเรือไปยังเกาะเต่า ต้องลงเปลี่ยนเรือกันที่นี้ ระหว่างที่กำลังรอเปลี่ยนเรือ ไอ้เรื่องฝนที่ผมคิดไว้แต่แรก มันก็มาตามนัดกันทันทีเลยครับ แถมไม่มาแบบธรรมดา มาแบบจัดหนัก มีของแถมเป็นลมมรสุมด้วย
ศาลาที่พักของผู้โดยสารเรือขนาดเล็กที่ไม่มีกันสาด ในวันนั้นต่อให้ใครที่เข้าไปยืนข้างในสุด ก็เปียกกันหมด เพราะลมหอบเอาฝนสาดเข้ามาด้านใน นักท่องเที่ยวฝรั่งหลายคนที่พากันเห็นท่าไม่ดี ต่างก็พาหยิบเอาเสื้อกันฝนออกมาคลุมใส่ไม่ให้ตัวเองและสัมภาระเปียก ส่วนผมนาทีนั้นเสื้อกันฝนก็ไม่มี ร่มก็ไม่มี อาศัยไปนั่งหลบตามโต๊ะ และตู้เก็บของเอา พร้อมหอบกล้องกับเลนส์หลายตัวหลบฝนไม่ให้มันเปียกน้ำ
พอโดนสาดมาบ่อยๆ จนเปียก ความหนาวก็เริ่มก่อตัวตามลำดับจนถึงกับสั่นเป็นเจ้าเข้า หนาวไม่พอ ใครคนนี้ยังมาปวดฉี่อีก แถมห้องน้ำแถวนั้น ก็ไม่มี เป็นอันว่างานนี้หนักหนาสาหัสกันสุดๆ สุดท้ายไม่ไหวจริงๆ ผมเลยเลือกวิ่งตากฝนไปหลบหามุมฉี่เอา เพื่อปลดปล่อยความทุกข์ ในระหว่างกำลังรอเรือ
โดนฝนซัดเปียกเป็นหมาน้อยตกน้ำกว่า 40 นาที พอฝนหยุด เรือก็มากันพอดีได้เวลา (ตอนไม่ตกเสือกไม่มานะ) พวกเราสองคนรีบเดินไปต่อคิวหาที่นั่งข้างในเหมาะๆ จากนั้นไม่นาน ประมาณชั่วโมงนิดๆ จากท่าเรือเกาะพะงัน เจ้าเรือเร็วลมพระยาก็พาเราทั้งสองคนและลูกเรือคนอื่นๆ มาถึงเกาะเต่ากันเรียบร้อย โดยจอดเทียบท่าที่อ่าวแม่หาด อันเป็นศูนย์รวมความเจริญบนเกาะเต่า ที่คับคั่งไปด้วยแหล่งอำนวยความสะดวกมากมาย
ลงเรือมาได้ พวกเราก็รีบสับตีนออกมาหารถที่จะพาเราไปยังโรงแรมที่จองไว้ครับ เดินออกมายังไม่พ้นท่าเรือเท่าไร ก็เจอชายอายุราว 30 ปลายๆ ยืนชูป้ายกระดาษเรียกชื่อจริงผมเป็นภาษาอังกฤษ
?มิสเตอร์อภิชาติ?? (สำเนียงแบบฝรั่งซักหน่อย)
ผมบอกใช่แล้ว ผมนี่แหละอภิชาติ ฮ่าๆๆ และผมก็เป็นคนไทย นี่ใช่รถโรงแรมที่มารับใช่มั้ยครับ
พอตอบตกลงกันเสร็จสรรพ เป็นอันว่ารถของทางโรงแรมมารับพวกเรา พร้อมทั้งลูกค้าอีกคนที่มาจองโรงแรมไว้ ก่อนจะพาพวกเรามุ่งหน้าไปยัง View Point Resort ที่พักสำหรับพวกเราคืนนี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ กันกับอ่าวโฉลกบ้านเก่า
ระหว่างทางมา View Point Resort ต้องบอกเลยว่า โอโห้ครับ ทางมันจะระห่ำไปไหน รถที่จะมาได้ต้องประเภท 4X4 หรือมอเตอร์ไซค์วิบากเท่านั้น ไอ้ประเภทมอเตอร์ไซค์ธรรมดาเนี่ย ต้องใช้ทักษะในการขับค่อนข้างสูง เพราะมันต้องขึ้นเนิน ลงเนินซิกแซกพอสมควร ผมเลยคิดในใจ มิน่าล่ะ เขาถึงส่งรถของทางโรงแรมให้มารับ
ไปถึง View Point Resort เสร็จ ก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกทั้งชุดตั้งแต่อยู่บนเกาะพะงัน แล้วเดินออกมาหาอะไรกินกันในตอนเย็น สอบถามพนักงานโรงแรมบอกว่า เดินจากโรงแรมเลียบเลาะไปตามชายหาดซัก 500 เมตร จะเป็นอ่าวโฉลกบ้านเก่า แถวนั้นมีวิวให้ได้ชม หาดลงเล่นน้ำได้ (แต่ไม่เหมาะเท่าไร) และมีร้านอาหารให้เลือกจิ้มว่าจะกินอะไรกัน
บรรยากาศของอ่าวโฉลกบ้านเก่าระหว่างเดินผ่าน อ่าวนี้จะมีลักษณะเว้าลึก ขนาบไปด้วยปลายแหลมทั้ง 2 ฝั่ง บริเวณหาดทรายมีความยาวกว่า 250 เมตร ซึ่งมีสีขาวสะอาด ลาดลงไปกับน้ำทะเลที่ใสสะอาด บริเวณใกล้เคียงอ่าวมี หาดเทียนออก ที่เป็นจุดชมปลาฉลาม ส่วนด้านท้ายของอ่าวโฉลกบ้านเก่าไปทางเหนือก่อนเข้าสู่แหลมตาโต๊ะ จะเป็นกองหินกองใหญ่ ซึ่งหากไปยืนมุมนี้จะมองเห็นโค้งอ่าวได้ทั้งหมด
จุดชมวิวแจ่มๆ ของอ่าวโฉลกบ้านเก่ามีหลายแห่งด้วยกันครับ ที่เขาแนะนำมา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกร้านอาหารที่จุดชมวิวเฉพาะอย่าง LAST PARADISE อยู่บนเนินเขาจุดจอดเฮลิคอปเตอร์ ที่สามารถมองเห็นอ่าวโฉลกบ้านเก่าและอ่าวข้างเคียง ได้ ซึ่งตอนที่สวยที่สุดคือยามพลบค่ำ ร้านอาหาร บานาน่าร็อค ที่ตั้งอยู่บริเวณไหล่เขา ภายในร้านจะมีระเบียงที่เป็นจุดชมวิวที่สวยงาม มองเห็น แหลมกุลจือ อ่าวโฉลกบ้านเก่า และหินตาโต็ะ วันไหนอากาศดีหน่อย ท้องฟ้าปลอดโปร่ง จะสามารถมองได้ไกลถึง เกาะพะงัน เกาะสมุย และหมู่เกาะอ่างทองได้ และที่สำคัญในช่วง เดือน พ.ย.-ม.ค. อ่าวแห่งนี้ จะสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ที่ลับขอบฟ้าได้ ไม่แพ้หาดทรายรี
สำหรับผม เลือกเดินเก็บบรรยากาศ แถวริมหาดของอ่าวก็พอ เพราะไม่มีเวลาจะไปยังจุดอื่นๆ ที่เหลือซึ่งก็ใกล้จะค่ำแล้ว อีกอย่างตอนนี้ท้องไส้ก็กำลังหิวมาก ฉะนั้นเลือกปักหลักกินข้าวแถวนี้ ชมหาดไปเรื่อยแล้วค่อยเดินกลับโรงแรมเอา
เย็นวันนั้นได้กระเพราหมู หมูทอดกระเทียม เป็นอาหารดับหิวมื้อสุดท้ายของวัน ก่อนพวกเราจะเดินกลับไปยังโรงแรมตอนใกล้ค่ำ เพื่อตัวเตรียมพักผ่อน และวางแผนไปเที่ยวกันต่อในวันพรุ่งนี้ ว่ามีที่ไหนน่าไปกันบ้าง
แต่ก่อนจะไปถึงวันรุ่งขึ้น คืนนี้ขอเสพบรรยากาศวิวริมทะเลเงียบๆ ตอนกลางคืนให้ชื่นใจกันก่อนนอนครับ
วันที่สองของพวกเราสองคน ในการใช้ชีวิตอยู่บนเกาะเต่า ด้วยความที่โรงแรมที่มาพัก ราคาที่จ่ายไปไม่ได้มีอาหารเช้า (ถึงมี ก็ไม่ได้เป็นคนคาดหวังอาหารเช้ากับโรงแรมมาแต่ไหนแต่ไร) ทำให้เราทั้งสองคนต้องออกมาหาอะไรกินกันข้างนอก แต่การจะออกมานั้น แน่นอนว่าเราต้องการยานพาหนะคู่ใจ ซึ่งคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้เลยนอกจากมอเตอร์ไซค์เอาไว้ให้พวกเราซิ่งซักคัน
ก่อนมาเกาะเต่าผมไล่อ่านข้อมูลการเช่ามอเตอร์ไซค์บนเกาะแห่งนี้ว่าเป็นยังไงบ้าง มีอะไรที่ควรต้องทำ ถ้าหาเราต้องไปเช่ารถมอเตอร์ไซค์ซักคันมาขับ ซึ่งส่วนใหญ่เท่าที่อ่านมา มักจะบอกไปในทิศทางเดียวกันว่า ค่ามัดจำเช่ามอเตอร์ไซค์ที่นี่แพง อีกอย่างก่อนเช่ารถอย่าลืมตรวจเช็คสภาพว่ามีอะไรเสียหายหรือไม่ ตอนเอามามันอยู่ในสภาพไหน เพราะเวลาเอารถไปคืน ร้านที่ปล่อยให้เราเช่าจะได้ไม่ขี้ตู่ปรับเอาค่าเสียหายแบบเนียนๆ
ผมเช่ามอเตอร์ไซค์มาได้ในราคาที่ไม่แพงนัก เมื่อเทียบกับข้อมูลที่อ่านมาได้ ซึ่งไอ้คำว่าไม่แพงของผมเนี่ยก็คือ ค่ามัดจำ 1000 บาท + บัตรประชาชน + ค่าเช่ารายวันประมาณ 350 บาท
รถได้มาแล้วก็ได้เวลาซิ่งเพื่อตระเวนไปเที่ยวยังหาดยังอ่าวอื่นๆ ก่อนไปช่วงเที่ยงของวันก็ต้องเติมพลังด้วยอาหารมื้อแรก พูดถึงเรื่องร้านอาหารที่เกาะเต่า โซนที่ผมอยู่ ประเภทร้านที่ติดหาดติดอ่าวมีค่อนข้างน้อย ต้องขับรถมาหากินที่อื่นเอา และที่มักจะเห็นก็เป็นร้านอาหารธรรมดานี่แหละ
สถานที่ของเราในวันนี้ ที่จะออกไปเริงร่ากันเป็นแหลมเจ๊ะตากัง ใจจริงทีแรกจะมาอ่าวจันทร์สม กับหาดทรายนวล แต่ด้วยความที่หลงทาง และหาที่จะไปไม่เจอ สุดท้ายเลยมาทะลุ เต่าทอง บังกะโล อันเป็นที่ตั้งของ แหลมเจ๊ะตากัง
แหลมเจ๊ะตากัง เป็นอีกแหลมที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะเต่า มีที่พักกันแค่ไม่กี่ที่ แถวนี้บรรยากาศเงียบสงบและมีความเป็นส่วนตัวพอสมควร กิจกรรมบนแหลมเจ๊ะตากัง ก็ไม่มีอะไรมาก นอกชมวิวทิวทัศน์กับพักผ่อนกันแบบสบายๆ แหละครับ ส่วนไอ้เรื่องจะเล่นน้ำเล่นท่า แถวนี้ไม่เหมาะกันเท่าไหร่
ภารกิจวันที่สองของพวกเราผ่านไปอย่างเรียบง่าย ไปที่แหลมเจ๊ะตากังเสร็จ ประมาณชั่วโมงกว่าก็พากันกลับโรงแรมไปนั่งเล่นกันตรงระเบียง ตกเย็นมาผมออกไปเล่นน้ำตรงอ่าวโฉลกนิดหน่อย ก็เป็นอันว่าหมดไปกับหนึ่งวันพักผ่อนแบบธรรมดาๆ แต่ทว่าสบายใจ
ส่วนตอนหน้า ไว้ผมจะพาไปยังเกาะนางยวน เกาะที่ว่ากันว่าสวยติด 1 ใน 10 ของโลก
ตื่นเช้ามาวันที่ 3 กับชีวิตติดเกาะ ภารกิจหลักวันนี้ที่เราปักหมุดไว้ก็คือการพาเท้าตัวเองไปสัมผัสยังเกาะนางยวน ก่อนจะไปขอพูดถึงที่พักอย่าง View Point Resort กันซักหน่อย ในฐานะใช้เป็นที่พักกันถึง 2 คืน
View Point Resort นั้นเท่าที่สัมผัสมา มีดีตรงที่วิวสวย เงียบสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อนแบบส่วนตัว จุดด้อยน่าจะเป็นบางพื้นที่ของที่พัก (พวกสวนหย่อม) มีกลิ่นไม่พึงประสงค์ อีกอย่างการเดินทางที่ค่อนข้างจะมีปัญหาซักหน่อยสำหรับคนที่เช่ามอเตอร์ไซค์ขับ แล้วไม่ค่อยชำนาญทางเท่าไหร่นัก แต่ถ้าฝีมือการขับอยู่ในระดับปานกลาง ถนนลาดชันแค่นั้นไม่น่าส่งผลสะทกสะท้านอะไรเยอะ
พูดถึงเรื่องโรงแรมเสร็จมาว่ากันถึงเรื่องเที่ยวต่อ การจะเดินทางไปเกาะนางยวน เราต้องไปขึ้นเรือตรงอ่าวแม่หาดครับ แถวนั้นจะมีบริการเหมาเรือนั่งไปยังเกาะนางยวนหลายเจ้า ของผมใช้บริการเรือเร็วลมพระยา ไปกันสองคน จ่ายไปคนละ 400 บาท เรือที่นั่งเป็นเรือยนต์ขนาดเล็ก นั่งประมาณ 20 นาทีก็เป็นอันว่าถึง ซึ่งในวันดังกล่าวพวกเราออกจากนั้นท่าเรือประมาณบ่ายโมงกว่า และนัดให้คนเรือมารับประมาณบ่ายสี่โมงเย็น
ระหว่างนั่งเรือมายังเกาะนางยวน จะสังเกตเห็นได้ว่ายิ่งเข้าใกล้เกาะนางยวนมากเท่าไร น้ำทะลแถวนี้ก็ดูจะใสขึ้นมากว่าเดิม คือมันใสมาก ใสแบบสวยตรึงตาจริงๆ
เกาะนางยวน ตามพิกัดที่ตั้ง จะวางตัวอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเต่า อันมีเกาะเล็กๆ 3 เกาะ ถูกเชื่อมเข้าหากัน และมีอ่าวส่วนตัวถึง 3 อ่าว เกาะแห่งนี้เหมาะมากกับการเล่นน้ำ และดำน้ำดูปะการัง เป็นอย่างยิ่ง บนเกาะสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นและตกได้บนหาดเดียวกัน อันเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่น ของเกาะนางยวน ที่มีเพียงแห่งเดียวในโลก นอกจากนี้บนเกาะยังมีจุดชมวิวที่ว่ากันว่าสวยจับใจกันสุดๆ โดยจุดชมวิวที่ว่าต้องเดินขึ้นเขาไปประมาณ 1 กิโลเมตร ตรงจุดนั้นสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์บนเกาะได้ทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นแลนมาร์คสำคัญที่ห้ามพลาดกันด้วยประการทั้งปวง
ส่วนเรื่องอื่นๆ บนเกาะอย่างร้านอาหาร เท่าที่สังเกตจะมีด้วยกันแค่ 2 – 3 แห่งเท่านั้น (ไม่นับรวมกับโรงแรม) ส่วนที่พักบนเกาะนางยวนจะมีกันแห่งเดียวเท่านั้น คือ นางยวน ไอซ์แลนด์ ไดฟ์ รีสอร์ท และนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวกันที่นี้ จะเป็นชาวต่างชาติเยอะ ซึ่งก็มีทั้งเอเชียตะวันออก ยุโรป อเมริกา ส่วนคนไทยขอบอกว่าน้อยมากๆ จนแทบจะนับหัวได้เลย
ส่วนตอนหน้าจะพาไปเที่ยวหาดทรายรี หาดขึ้นชื่อของเกาะเต่า ที่ใครๆ เขาก็พากันไปเดินเล่น
ออกจากเกาะนางยวนราวๆ สี่โมงเย็น พลันเรือแตะถึงฝั่ง พวกเราก็พากันรุดหน้ามายังหาดทรายรี เพื่อเดินเล่นและชมพระอาทิตย์ตกดินกันที่นี่ ซึ่งว่ากันว่าที่หาดทรายรี เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยที่สุดบนเกาะเต่า
ลักษณะของหาดทรายรีนั้น เป็นหาดขนาดใหญ่ครับ ชายหาดมีความยาวเกือบ 2 กิโลเมตร ทรายตรงหาดจะมีลักษณะสีขาวอมน้ำตาลนิดๆ ละเอียดนุ่ม เหมือนแป้ง ชายหาดค่อยๆ ลาดลงไป ตัวหาดจะขนานไปกับทิวเขาและต้นสน ซึ่งทางตอนใต้ของหาดก็จะมีก้อนหินเรียงรายอยู่บนชายหาด มีลักษณะเหมือนกับสวนริมทะเล และมีหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ตั้งอยู่บริเวณ ปากธารน้ำจืด ที่หินจะมีการแกะสลักคำว่า จ.ป.ร. ซึ่งหมายความว่า ในสมัยก่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาประภาสที่ เกาะเต่าแห่งนี้ จึงได้โปรด สลักหินที่เป็นตัวอักษรนี้ไว้ เมื่อปี พ.ศ.2442 และในปัจจุบันนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่มาเที่ยวหาดแห่งนี้ บางคนจึงเรียกว่า หาด จปร. ถัดไปจากนั้นไปไม่ไกลมีอุทยานหอยมือเสือ ซึ่งเป็นศูนย์เพาะพันธุ์ หอยมือเสือและสัตว์น้ำนานาชนิด
ข้อดีของหาดทรายรี นอกจากจะเป็นที่ชมพระอาทิตย์ตกดินสวยแล้ว หาดนี้ยังเหมาะเป็นที่ลงเล่นน้ำกว่าใคร อีกทั้งยังมีที่พักบริการมากมายหลายแห่ง รวมทั้ง ผับ บาร์ เรียกได้ว่าในยามค่ำคืน ค่อนข้างที่คึกคักกันพอสมควร โดยเฉพาะระหว่างทางที่ตรงลงมายังหาด กรณีใครไม่ชอบความวุ่นวาย อยากได้ความสงบซักเล็กน้อยในการพักผ่อน ก็อาจจะเลือกโรงแรมที่พักที่ห่างจากจุดนี้กันซักหน่อยครับ ประเดี๋ยวจะพาลหงุดหงิดเอาเวลานอนกันตอนกลางคืน ซึ่งผมก็เลือกพักแบบนั้น เพราะไม่ชอบอะไรเสียงดังรบกวนจิตใจ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าลาโลก ปล่อยให้พระจันทร์สับเปลี่ยนมาทำหน้าที่แทน พวกเราสองคนก็พากันเข้าที่พักของวันที่ 3 ซึ่งเปลี่ยนใหม่เป็น ทิพย์วิมาน รีสอร์ท ซึ่งจะตั้งอยู่บนเนินเขาบนเกาะเต่า คือจากท่าเรือแม่หาดมา มุ่งหน้ามาทางหาดทรายรี ตรงไปเรื่อยๆ ใช้เวลาราวๆ 10 นาที ก็เป็นอันถึง (ใครเช่ามอเตอร์ไซค์ขับไป โทรถามเจ้าหน้าที่โรงแรมก่อนได้ครับ เพื่อความชัวร์) และเหตุผลที่เราเลือกพักที่นี่เป็นคืนสุดท้าย เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศนอนกันบ้าง อีกทั้ง ทิพย์วิมาน รีสอร์ท ก็จัดว่าบรรยากาศดีใช้ได้ รวมทั้งในวันที่จะกลับ มันก็ใกล้กับท่าเรือแม่หาด ตรงที่เราจะขึ้นเรือ เพื่อกลับสู่มาตุภูมิ นัยว่าเป็นการประหยัดเวลาไปในตัว
แล้วมาต่อกันอีกตอนให้จบกับเรื่องราวทั้งหมดที่ยังคงเหลือ และอีกบางเรื่องที่ยังอยากเล่า แต่ยังไม่ได้เล่ากันครับ คุณผู้อ่านที่เคารพรัก
และแล้วก็มาถึงตอนจบกันกับวันสุดท้าย ที่ใช้ชีวิตเที่ยวบนสองเกาะ
พูดถึงเรื่องที่พักก่อนล่ะกัน ที่พักคืนสุดท้ายที่ ทิพย์วิมาน รีสอร์ท พูดแบบตรงไปตรงมา จุดเด่นของที่นี่เลยก็คือ วิวตรงระเบียงห้องพักมันสวยครับ อารมณ์ประมาณว่า แค่นายเปิดประตูออกมานอกระเบียง ก็พร้อมที่จะสัมผัสถึงบรรยากาศกลิ่นไอของทะเลได้แล้วอยู่ตรงหน้า พอเหวี่ยงสายตาออกไปก็จะพบกับทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูกตา สำหรับบรรยากาศรอบๆ โรงแรมค่อนข้างที่จะร่มรื่นไปด้วยไม้ดอกและไม้ประดับ และเงียบสงบดี กรณีตอนกลางคืนอาจจะลำบากไปหน่อยถ้าต้องเดินเข้าที่พัก เนื่องจากทางค่อนข้างจะมืดพอสมควร แถมทางเดินยังมีแยกกันหลายทาง อื่นๆ เรื่องการบริการ สภาพห้องพัก โอเคหมด คุ้มค่า คุ้มราคากับเงินที่จ่ายไป
มาถึงเรื่องไทม์ไลน์ช่วงสุดท้ายบนเกาะบ้าง พวกเรามีนัดกับเรือเร็วลมพระยาประมาณ 10.00 น. เพื่อเดินทางกลับ โดยออกจากเกาะเต่า แล้วมุ่งหน้าไปยังเกาะพะงัน -เกาะสมุย – ท่าเรือดอนสัก แล้วค่อยต่อรถเข้าในเมืองสุราษฎร์ธานี ก่อนกลับมีปัญหานิดหน่อยอตอนเอามอเตอร์ไซค์ที่เช่าเขาไปส่ง เพราะผมเอารถไปส่ง แล้วเกือบมาขึ้นเรือไม่ทัน เรียกได้ว่าวิ่งกันหอบแดกเลยเชียว เพื่อที่จะมาให้ทันเรือออก
ในวันที่นั่งเรือกลับ สภาพอากาศถือว่าแตกต่างกันมากกับวันที่มา วันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดดี ไม่เหมือนกับที่วันมาที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน และโดนฝนเล่นงานจนเปียกเป็นหมาน้อยตกน้ำ จากสิบโมงเช้าที่นั่งเรือมา ประมาณบ่ายสามโมง เราก็พากันถึงตัวเมืองสุราษฎร์ธานีเป็นที่เรียบร้อย และในช่วงเย็นของวันเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา เลยพากันไปเดินเล่นตลาดศาลเจ้า เมืองสุราษฎร์ เพื่อหาของกิน และก็ไม่ผิดหวังที่ตลาดแห่งนี้ของกินอร่อยๆ มีให้เลือกกินเพียบ ที่โดนใจผมสุดๆ นี่เลย ขนมจีนน้ำยาปู พร้อมผักเครื่องเคียงแบบเต็มอัตราศึก
ตกเย็นมาซักหน่อยเราทั้งสองก็ย้ายตูดไปเดินเล่นที่เกาะลำพู ซึ่งอยู่กลางแม่น้ำตาปี ในตัวเมืองสุราษฎร์ เกาะแห่งนี้ให้อารมณ์ประมาณสวนสาธารณะที่ทำให้ชาวบ้านมาพักผ่อน มาเดินเล่นกัน บรรยากาศจัดว่าเงียบสงบใช้ได้ ในการปลีกวิเวก สำหรับสังคมในเมือง
จบจากนี้เข้าที่พักในเมือง เช้าวันรุ่งขึ้น ก็ได้เวลาที่ต้องเดินทางกลับ โดยต้องไปขึ้นรถตู้ที่ตลาดเกษตร เพื่อเดินทางไปยังสนามบินสุราษฎร์ แต่ด้วยความที่พากันไปไม่ทันคิวรถ เลยต้องถูกชดใช้โดยการเหมาแท็กซี่ไปเอา และก็แน่นอนเหลือเกินว่าถูกเรียกราคาค่าเหมารถในระดับหลักพัน
ถึงสนามบินขึ้นเครื่องเสร็จ ผมทอดสายตาผ่านออกมาตรงริมหน้าต่างที่นั่งผู้โดยสาร เพื่อมองวิวทิวทัศน์ด้านล่าง รำลึกถึงความหลังกับทริป 5 วัน 4 คืน ในจังหวัดนี้
มีความสุขดี แม้จะไม่ที่สุด แต่ผมก็อยากจะหยุดช่วงเวลาดังกล่าวไว้นานๆ? มันสะกดความรู้สึกออกมาได้แบบนั้น